แนะนำ 10 เครื่องรีดไอน้ำ ยี่ห้อไหนดี 2020 ถนอมผ้า พกพาได้ง่าย และยังช่วยให้การรีดผ้าเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ เลย
เครื่องรีดไอน้ำ ถือเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคุณแม่บ้านพ่อบ้าน ที่จะช่วยให้การรีดผ้าที่เป็นเรื่องยุ่งยาก กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากเครื่องรีดไอน้ำไม่จำเป็นต้องใช้โต๊ะในการรองรีดแล้ว ยังสามารถรีดเนื้อผ้าได้หลากหลายรูปแบบมากกว่าเตารีดธรรมดา ๆ อีกทั้งเครื่องรีดไอน้ำยังถูกออกแบบมาเพื่อให้รีดเน้นถนอมใยผ้า ไม่ทำลายเสื้อผ้าให้เสียหาย และยังทำให้ผ้าที่รีดด้วยเครื่องรีดไอน้ำออกมาดูเรียบสวย ดูโดดเด่นตามชนิดเนื้อผ้านั้น ๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าได้สวมใส่เสื้อผ้าที่รีดด้วยเครื่องรีดไอน้ำแล้วละก็ ความมั่นใจจะมาเต็มแน่ค่ะ แล้วจะลืมเรื่องการรีดผ้าแบบเดิม ๆ ไปได้เลย
ด้วยความสามารถอันดีงามของเครื่องรีดไอน้ำนี่เอง ทำให้หลาย ๆ คนอาจจะเคยพบเห็นเครื่องรีดไอน้ำตามร้านเสื้อผ้าใหญ่ ๆ หรือร้านที่ต้องการความ Premium ระดับสูงในการดูแลเสื้อผ้า ขนาดผู้เชียวชาญยังหาเครื่องรีดไอน้ำมาใช้ในการรีดผ้าเลย คนธรรมดา ๆ แบบเรา ๆ ก็ต้องลองหามาใช้ดูบ้างแล้วละค่ะ เพื่อการรีดผ้า ถนอมผ้าขั้นสุด เสื้อผ้าที่เรารักจะได้ไม่เสียหาย และสามารถยืดอายุการใช้งานให้อยู่คู่กับเราได้ตลอดไป เพราะฉะนั้นถึงเวลาไปอ่านบทความนี้แล้วค่ะ แนะนำ 10 เครื่องรีดไอน้ำ ยี่ห้อไหนดี พกพาได้ง่าย และยังช่วยให้การรีดผ้าเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ เลย อ่านจบแล้ว พวกคุณต้องอยากซื้อเครื่องรีดไอน้ำแน่นอน!
เครื่องรีดไอน้ำ ถูกคิดค้นพัฒนามาจากเตารีดรุ่นธรรมดา ช่วยจัดการรอยยับของเนื้อผ้าธรรมดาจนถึงเนื้อผ้าที่บอบบาง อาทิ ผ้าไหม ที่มีความเงางาม ดูมีราคาแต่เนื้อผ้ามีความทิ้งตัวและยับง่าย หรือผ้าไนลอนที่ค่อนข้างลื่นและบาง รวมถึงผ้าชนิดอื่น ๆ ที่อาจจะยากต่อการรีดกดจับจีบ ต้องใช้การรีดซ้ำ ๆ บริเวณเดิมเพื่อให้เกิดกลีบ ซึ่งหากใช้เตารีดทั่วไปโอกาสผ้าจะเกิดรอยไหม้หรือรอยขึ้นเงาสูงมาก ดังนั้นผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าค่ายดัง ๆ จึงผลิตเครื่องรีดไอน้ำขึ้นมาเสริม เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้ซื้อที่หลากหลายนั้นเองค่ะ
เครื่องรีดไอน้ำ นอกจากจะรีดเสื้อผ้าได้ดีกว่าเตารีดแบบทั่วไปหรือเตารีดแบบรองรีดแล้ว ยังสามารถนำมารีดผ้าม่าน ผ้าปูเตียง หมอน หรือตุ๊กตาได้อีกด้วย รีดได้สารพัดสิ่งค่ะ อีกทั้งเครื่องรีดไอน้ำยังมีจุดเด่นที่ระบบแรงดันไอน้ำและความร้อนสูง ทำให้สามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียในเสื้อผ้าได้ เครื่องรีดไอน้ำจึงเหมาะมากกับการนำไปรีดเสื้อผ้าของเด็ก ๆ อีกด้วย ทั้งดูแลเสื้อผ้าและสุขอนามัยของลูก ๆ ไปในตัว ถือว่าซื้อมาเครื่องเดียวยิงนกได้ 2 ตัวเลยค่ะ
คุณแม่บ้านและพ่อบ้านหลายท่านน่าจะเคยได้ยินถึงเสียงลืออันดีงามของเครื่องรีดไอน้ำกันบ้างแล้ว ต่อไปนี้ จะเป็นการแนะนำถึงเครื่องรีดไอน้ำ 10 ตัว โดยพูดถึงคุณสมบัติของเครื่องรีดผ้าไอน้ำของแบรนด์ต่าง ๆ ข้อแตกต่างของแต่ละรุ่น และเราได้เลือกรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันมากที่สุดมานำเสนอ ไปดูกันดีกว่าว่ามีเครื่องรีดไอน้ำยี่ห้อไหนน่าสนใจบ้างค่ะ
สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องรีดผ้าไอน้ำอยู่ ต้องลองดูตัวนี้เลยค่ะ กับเครื่องรีดไอน้ำ PHILIPS รุ่น GC558 ด้วยขนาด 46 x 37 x 64 เซนติเมตร กะทัดรัดเคลื่อนย้ายไปมาได้สะดวก มาพร้อมกับความจุของแทงก์น้ำถึง 1,800 มิลลิลิตร ที่สามารถยกถอดออกเพื่อเติมน้ำหรือทำความสะอาดได้ง่าย ด้วยขนาดแทงก์ที่ค่อนข้างใหญ่นี่เอง ทำให้สามารถพ่นไอน้ำได้ต่อเนื่องสูงถึง 40 กรัม/นาที บวกกับรูพ่นถึง 12 ช่อง ช่วยให้การรีดผ้าได้เรียบอย่างทั่วถึง แถมยังปลอดภัยกับเนื้อผ้าทุกชนิด เพราะหัวพ่นไอน้ำเป็นแบบซิลิโคน ไม่ทำให้ผ้าเกิดรอยไหม้ อีกทั้งตัวเครื่องยังมีแรงดันไอน้ำที่ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยในเรื่องของการลดกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ดี และยังสามารถปรับตั้งค่าไอน้ำได้ถึง 5 ระดับ เพื่อให้เหมาะสมกับการรีดเนื้อผ้าที่แตกต่างกันอีกด้วย
การทำงานของตัวเครื่องรีดไอน้ำจะพร้อมใช้งานภายใน 1 นาที และมีระยะเวลาในการใช้งานที่ 40 นาที จึงเหมาะมากในงานที่เร่งรีบ เพียงแขวนผ้าไว้ตรงราว และปรับปุ่มเพื่อล็อกไม่ให้ผ้าเลื่อนหลุด ช่วยให้รีดได้คล่องขึ้น ส่วนหัวรีดก็สามารถเอนไปตามทิศทางที่จะรีดได้ ทำให้ไม่ต้องคอยหักข้อมือบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีฐานรองรีดที่ยาวเป็นพิเศษ ช่วยให้รีดเสื้อผ้าได้ตั้งแต่บนลงล่างได้ง่าย
อีกทั้ง PHILIPS ยังออกแบบให้มีช่องสำหรับใส่น้ำหอมโดยเฉพาะ ช่วยให้ผ้าตัวโปรดของเพื่อน ๆ มีกลิ่นหอมโดดเด่นกว่าเครื่องรีดไอน้ำยี่ห้ออื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่มักจะมีข้อห้ามไม่ให้ใส่น้ำหอมหรือน้ำยารีดผ้าเรียบ พร้อมด้วยความยาวท่อส่งไอน้ำ 1.3 เมตรจึงยืดสายและรีดได้ทุกทิศทาง สามารถยืดอายุการใช้งานเครื่องด้วยฟังก์ชันลดตะกรันที่สามารถทำได้ทันทีหลังใช้เครื่องเสร็จ ยังมีระบบระบบตัดไฟเมื่อน้ำแห้ง มั่นใจได้ในความปลอดภัย แต่มีข้อเสียคือ ท่อส่งไอน้ำจะพับได้ง่าย ทำให้ไม่สามารถส่งไอน้ำได้ต่อเนื่อง ทำให้ต้องคอยสังเกตเป็นพัก ๆ ค่ะ
มาต่อกันที่เครื่องรีดไอน้ำยี่ห้อ Tefal ซึ่งได้ยกรุ่น IT8460 ตัวนี้ ให้เป็นรุ่นโปรที่มืออาชีพหลายคนได้เลือกใช้ ด้วยพลังไอน้ำ 35กรัม/นาที พร้อมกำลังไฟ 1,800 วัตต์ จึงสามารถขจัดรอยย่นและเพิ่มความเรียบสวยของผ้าได้ดี ตัวเครื่องใช้เวลาทำความร้อนเพียงแค่ 45 วินาที ก็สามารถใช้งานรีดได้ทันที ส่วนหัวพ่นเป็นแผงโลหะขนาดใหญ่ บวกกับรูพ่นไอน้ำ 9 ช่อง ที่กระจายตัวอยู่บนแผงรีดช่วยให้การรีดผ้าเรียบเสมอกันได้เร็วขึ้น มีแผงรองรีดแบบโปร่งที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Tefal เท่านั้น สามารถนำผ้าสวมลงไปเพื่อรีดได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ตัวเสาแขวนผ้าเองก็สามารถปรับขึ้น-ลงได้ง่ายอีกด้วย
เครื่องรีดไอน้ำ Tefal ตัวนี้ ถูกออกแบบมาให้มีการรีดที่เน้นถนอมใยผ้า ด้วยระบบแรงดันไอน้ำที่สามารถปรับได้ถึง 5 ระดับ ใช้ในการรีดเนื้อผ้าที่แตกต่างกัน อาทิ ผ้าชีฟอง ผ้าใยสังเคราะห์ เสื้อยืด เสื้อสูท ชุดเดรส รวมถึงออกแบบมาให้ไม่มีน้ำหยดเหมือนเตารีดไอน้ำทั่วไป ทั้งยังมีไฟแจ้งเตือนทันทีเมื่อน้ำหมด และจะขึ้นเตือนอีกเมื่อพบเจอคราบตะกรัน ทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษามากทีเดียว แถมมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมไม่ว่าจะเป็นแผงจับฝุ่น ผ้าคลุมหัวรีดสำหรับผ้าที่ค่อนข้างบาง แปรงจับจีบ และแปรงรีดผ้าสำหรับใช้กับผ้าที่ค่อนข้างหนาได้ดีอีกด้วย แต่ตัวเครื่องอาจจะมีเสียงดังอยู่บ้างจากน้ำเดือดหากตั้งค่าไอน้ำไว้ที่ระดับ 5 (ระดับสูงสุด) ถือเป็นข้อเสียโดยทั่วไปของเครื่องรีดไอน้ำก็ว่าได้ค่ะ
หากกำลังมองหาเครื่องรีดผ้าที่เน้นฟังก์ชันพกพา Xiaomi รุ่น Deerma DEM-HS007 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่มีงบจำกัด ด้วยขนาดกำลังไฟ 800 วัตต์ มีความจุน้ำในแทงก์ประมาณ 100 มิลลิลิตรเหมาะสำหรับสายเดินทาง และด้วยขนาด 16.5 x 14.5 x 19.5 ซม. ทำให้พกพาสะดวก เหมาะใช้งานระหว่างเดินทาง ช่วยลดรอยยับบนเสื้อที่พับรวม ๆ กันไว้ในกระเป๋าให้กลับมาเรียบสวยน่าใส่เหมือนเดิม ทำให้การรีดผ้าเป็นเรื่องง่ายและสนุกไปในเวลาเร่งรีบ โดยระยะทำความร้อนใช้เวลา 20 วินาที รุ่นนี้แถมหัวแปรงสำหรับรีดผ้าที่มีขนแปรงรอบ ๆ นำมาปัดเศษผงหรือฝุ่น ที่ติดอยู่บนเนื้อผ้าให้หลุดออก
แม้จะดูคุ้มค่าเพราะผู้ใช้หลายคนพอใจที่รีดผ้าได้ค่อนข้างเรียบ แต่เครื่องรีดไอน้ำรุ่นนี้ค่อนข้างมีน้ำหนัก ซึ่งอยู่ที่ 1.1 กิโลกรัม รีวิวผู้ใช้บางรายบอกว่ารีดได้ไม่นานก็ต้องหยุดพักเป็นระยะ สำหรับในส่วนของฟังก์ชันการรีดนั้น แม้จะมีความจำกัดทั้งในแง่จำนวนชิ้นต่อการรีดในแต่ละครั้ง และความเรียบของผ้าที่เทียบไม่ได้กับเครื่องรีดไอน้ำแบบมีสายก็ตาม แต่เครื่องรีดไอน้ำแบบพกพารุ่นนี้ยังมีข้อดีตรงที่เหมาะกับงานรีดเสริมในนาทีสุดท้ายนั่นเองค่ะ
กลับมาที่เครื่องรีดไอน้ำแบบมีสายที่ราคาคุ้มค่าอีกตัวจากแบรนด์ Philips รุ่น GC552/40 มาในรูปทรงทันสมัยสวยงามน่าใช้ทีเดียว เคลื่อนย้ายง่ายด้วยน้ำหนักที่ไม่มาก และขนาด 46 x 37 x 64.5 เซนติเมตร โดยแรงดันไอน้ำ 35 กรัม/นาที รูพ่นตรงแผงทั้งหมด 12 ช่อง หัวพ่นและท่อส่งไอน้ำเป็นแบบซิลิโคนที่ปลอดสาร PVC โดยท่อส่งไอน้ำยาว 1.3 เมตร เหมาะแก่การรีดทุกทิศทาง แต่ข้อแตกต่างจากยี่ห้อเดียวกันที่ได้แนะนำไปคือ กำลังไฟรุ่นนี้ 1,800 วัตต์ รวมถึงการปรับระดับของรุ่นนี้มีด้วยกัน 3 แบบด้วยกัน โดยเลือกใช้จากการใช้รีดชนิดผ้าที่ต่างกันออกไป แผ่นรองรีดมีความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Philips สามารถปรับความสูงได้ สำหรับตัวแผ่นจะเป็นแผ่นสไตล์บอร์ดออกแบบให้รีดได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่างของเสื้อ
การใช้งานเครื่องรีดผ้าไอน้ำรุ่นนี้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ประทับใจเพราะความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ด้ามจับออกแบบให้มีน้ำหนักเบาเพื่อให้จับถนัดมือ ทั้งยังมีระบบจับตะกรันดูแลความสะอาด รวมถึงปริมาณแทงก์น้ำที่ความจุ 1,600 มิลลิลิตร สามารถรีดผ้าได้ 1 ตะกร้า พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริม ได้แก่ ถุงมือกันความร้อนและหัวรีดแบบแปรงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ให้ระวังอย่าเติมน้ำเต็มแทงก์ เพราะเมื่อน้ำเดือดจะทำให้ทะลักออกมาข้างนอกได้ ข้อเสียรุ่นนี้คือ ตัวสายจะค่อนข้างร้อนอาจเพราะเป็นซิลิโคน ทำให้พับหรือบิดง่ายขณะใช้งาน จนบางครั้งทำให้ไอน้ำไม่ออกมา อาจจะต้องคอยสังเกตบ่อย ๆ ค่ะ
มาดูฝั่งของแบรนด์ ELECTROLUX รุ่น EGS2003 ขนาดเครื่อง 24.6 x 38 x 163.5 เซนติเมตร มาพร้อมล้อเลื่อน 4 ตำแหน่ง ด้านแผงรีดทำมาจากอะลูมิเนียม รูพ่นไอน้ำมีทั้งหมด 9 ช่อง รุ่นนี้ไม่มีระดับตั้งค่าไอน้ำ แต่ด้วยตัวเครื่องมี 1 ระดับ ถ้ามองในแง่ความสะดวกทำให้สามารถที่จะควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ แต่ไม่เหมาะสำหรับรีดผ้าหนา เพราะแรงดันไอน้ำอาจจะไม่พอ ด้วยรูปแบบไอน้ำจึงไม่ขึ้นรอยเงาเหมือนเตารีดแบบตั้งโต๊ะ อุปกรณ์เสริมของรุ่นนี้คือ ถุงมือรองรีด หัวแปรงขน หัวแปรงไฟฟ้าสถิต และหัวแปรงจับจีบ
การทำงานของเครื่องรีดไอน้ำรุ่นนี้เมื่อเปิดเครื่องใช้งาน ระบบจะทำความร้อนภายใน 55 วินาที จึงไม่ต้องรอรีดนาน ด้วยแผงรีดอะลูมิเนียมจึงทำให้ไม่พบน้ำรั่วซึมออกมา แทงก์ความจุน้ำอยู่ที่ 2,300 มิลลิลิตร ถือว่าจุน้ำได้เยอะ กำลังไฟ 1,300 วัตต์ระบบพลังไอน้ำ 32 กรัม/นาที เหมาะกับผ้าที่ไม่ทนความร้อน อาจจะรีดเสื้อผ้าได้เรียบ แต่อาจจะใช้เวลาสำหรับผ้าที่หนา หัวรีดและด้ามจับทำออกมาได้ดีค่อนข้างจับถนัดมือ ทำให้รีดง่ายและเร็ว สะดวกต่อการใช้งานในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก ข้อเสียของรุ่นนี้คือ เสียงเครื่องรีดจากแทงก์น้ำค่อนข้างดัง เมื่อใช้ไปสักระยะ ตัวสายท่อไอน้ำไม่ร้อนง่ายอย่างที่คิด และไม้แขวนไม่สามารถทำการล็อกไว้ได้ อาจทำให้ยากต่อการรีดบ้าง และไม่มีฟังก์ชันทำความสะอาดดักจับตะกรัน
สำหรับ Philips รุ่น GC514/40 คงคุ้นหน้าคุ้นตาแม่บ้านหลายท่าน มาพร้อมขนาด 34.7 x 41.3 x 36.3 เซนติเมตร ด้วยโครงสร้างองค์ประกอบมีความแข็งแรงและระบบควบคุมทั้งหมดค่อนข้างใช้งานง่าย มีปุ่มปรับระดับไอน้ำอยู่ทั้งหมด 3 แบบ ด้วยกำลังไฟ 1,600 วัตต์จึงให้แรงดันไอน้ำ 32 กรัม/นาที หัวพ่นไอน้ำเป็นแบบซิลิโคน ซึ่งรุ่นนี้ออกแบบแผงพ่นใหญ่กว่ารุ่นเดิมถึง 25 % ช่องพ่นไอน้ำมากถึง 13 รู ที่จะช่วยกระจายความร้อนและไอน้ำมากยิ่งขึ้น ทำให้ผ้าเรียบมากขึ้น แทงก์น้ำขนาด 1,600 มิลลิลิตรที่สามารถถอดออกได้ มีฟังก์ชันการจับตะกรันเพื่อลดการสึกหรอของเครื่องรีดไอน้ำ ยังสามารถใช้น้ำประปากับเครื่องนี้ได้อีกด้วย ถือว่าใช้งานง่ายแถมยังสะดวกมากทีเดียว
สำหรับการรีดใช้งานได้ทันทีหลังเปิดเครื่องทิ้งไว้ 1 นาที เครื่องนี้ไม่ต้องก้มให้เมื่อยเหมือนเตารีดทั่วไป เพราะสามารถปรับความสูงของเสาแขวนผ้าให้พอดีกับตัวผู้ใช้ได้ แถมรุ่นนี้ยังไม่ต้องออกแรงมากเพราะแรงปล่อยไอน้ำที่ค่อนข้างสูง แต่หากใช้งานไปสักระยะ ด้ามจับค่อนข้างร้อนง่าย ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้ถุงมือกันความร้อนทั้งสองด้าน อย่างไรก็ตาม ยังไม่เหมาะรีดเสื้อผ้าที่ต้องการเห็นจีบ หรือต้องการความคมชัดมากนัก แต่หากเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาเครื่องรีดไอน้ำที่ราคาย่อมเยาที่ออกแบบมาเพื่อรีดชุดที่มีทรงหรือเนื้อผ้าบาง ๆ ที่รีดยาก รุ่นนี้ก็ทำการรีดได้เรียบและคุ้มค่าค่ะ
ถัดมาที่ตัวถัดไปจาก Tefal รุ่น IT3441 ด้วยขนาด 30 x 160 x 45 เซนติเมตร รูปทรงกะทัดรัดและยังสามารถพับเก็บได้อีกด้วย หัวพ่นเป็นแบบโลหะ ทำให้รีดได้ไม่ติดขัด แม้ต้องรีดผ่านกระดุมต่าง ๆ มาพร้อมกำลังไฟที่ค่อนข้างสูงถึง 1,800 วัตต์ ทำให้เครื่องร้อนเร็วพร้อมทำงานภายใน 45 วินาที และแรงพ่นไอน้ำเฉลี่ย 30 กรัม/นาที ด้วยกำลังไฟที่มากพอ ทำให้มีระดับความแรงไอน้ำถึง 3 ลำดับด้วยกัน เพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้งานตามความต้องการ และรีดได้นานยิ่งขึ้นด้วยความจุของแทงก์น้ำที่มีขนาด 1,500 มิลลิลิตร
จากการใช้งานของผู้ใช้หลายคน พอใจกับผลลัพธ์ของเครื่องที่ทำให้การรีดช่วยถนอมใยผ้าได้ดี เหมาะสำหรับรีดเนื้อผ้าบาง ๆ โดยเฉพาะชุดเดรส กระโปรง ชีฟอง ไนลอน เป็นต้น แม้จะยังไม่สามารถรีดได้กับผ้าลินิน ผ้าฝ้ายเนื้อหนาได้เรียบมากเท่าที่ควร เนื่องด้วยแรงพ่นไอน้ำไม่สูงเท่ารุ่นอื่น แต่ด้วยมาตรฐานเครื่องประกอบที่มีคุณภาพจากแบรนด์ Tefal ซึ่งเป็นที่ยอมรับ จึงทำให้ใช้งานได้คุ้มค่า และประหยัดแรงไม่น้อยเลยทีเดียว
มาต่อกันที่รุ่นพกพาอีกสักตัว แต่มาในแบบมีสาย Deerma 2-in-1 Garment Steamer จากแบรนด์ Xiaomi ขนาด 21 x 10 x 13.50 เซนติเมตร ดีไซน์สวย ดูล้ำสมัย ตัวเครื่องมีน้ำหนัก 1.1 กิโลกรัม ค่อนข้างหนักกว่าแบบมีสายทั่วไป (ในแง่น้ำหนักของส่วนหัวรีด) แต่เนื่องจากทำออกมาให้เป็นรุ่นพกพา ที่ดูย่อขนาดลงมา ทั้งมอเตอร์และอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยจึงต้องอยู่ในที่เดียวกันหมด ทำให้น้ำหนักมากกว่ารุ่นอื่น ๆ แต่สะดวกในแง่ของการขนย้ายเพื่อนำไปใช้ในที่ต่าง ๆ โดยที่ไม่ต้องลำบากขนเครื่องตัวใหญ่ไปมา
ในส่วนของการรีด เครื่องนี้มีแรงดันของการพ่นไอน้ำอยู่ที่ 11-19 กรัม/นาที จึงรีดได้เฉลี่ย 1-2 ตัว(เสื้อผ้าผู้ใหญ่) และด้วยระบบแทงก์น้ำที่มีความจุเพียง 110 มิลลิลิตร เฉลี่ยแต่ละรอบที่เปิดใช้งานสามารถรีดได้ไม่เกิน 6-11 นาที ก็ต้องเติมน้ำใหม่ ดังนั้นหากต้องรีดทีละมาก ๆ ทำให้จำเป็นต้องเติมน้ำบ่อยมากเป็นพิเศษ จึงถือว่าเป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับใช้ในงานรีดที่ต้องเก็บรายละเอียดตอนท้ายเสียมากกว่า ด้วยความกะทัดรัดทำให้รุ่นนี้ปรับความร้อนไม่ได้ อยู่ที่ระดับเดียวคือ อุณหภูมิ 180 องศาจากกำลังไฟ 1,000 วัตต์ ถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเครื่องรีดไอน้ำขนาดพกพาด้วยกัน ดังนั้น ขณะใช้งานจึงให้ความร้อนที่สูงกว่ารุ่นพกพาทั่วไป
มาถึงรุ่น IS8380 ที่ถือเป็นเทคโนโลยีที่ส่งตรงมาจากประเทศฝรั่งเศส และยังมีมาตรฐานยุโรปรับรองประสิทธิภาพแล้วอีกด้วย มาในขนาดกะทัดรัด 46 x 37 x 64 เซนติเมตร ด้วยความน่าเชื่อถือและราคาย่อมเยา ทำให้ผู้ใช้หลายคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยการใช้งานที่มีปุ่มปรับระดับแรงดันไอน้ำถึง 5 ระดับเพื่อให้เข้ากับเนื้อผ้าทุกชนิด แทงก์น้ำความจุน้ำได้ 1,700 มิลลิลิตร ตัวเสาสามารถปรับระดับได้ถึง 167 เซนติเมตร หัวรีดทำจากเหล็กลดการหยดของน้ำออกจากแผงรีดและรูปทรงของหัวรีดได้ดี จึงทำให้รีดตามซอกได้ง่ายขึ้น มีช่องพ่นไอน้ำ 9 รู รุ่นนี้มีสัญญาณไฟเตือนเมื่อน้ำหมด
สำหรับการใช้งานรีดที่ผู้รีวิวเทคะแนนให้เพราะเหมาะกับเสื้อที่บอบบางและยากต่อการรีด ทั้งยังสามารถรีดทับกระดุม หรือเสื้อที่ปักเลื่อมได้สบายๆ โดยไม่ทำให้องค์ประกอบของเสื้อผ้าชำรุด ผู้ใช้หลายคนยังเลือกซื้อ เพราะความแรงของไอน้ำ ที่ช่วยให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว ไม่มีสะดุด แรงดันทำให้รีดผ้าบาง อาทิ ชีฟอง ผ้าไนลอน รีดได้เรียบและเร็ว ประหยัดแรง คุ้มค่า แต่สำหรับผ้าที่เนื้อค่อนข้างหนาอาจจะใช้เวลา ข้อเสียอย่างหนึ่งของเครื่องตัวนี้คือ อาจมีเสียงรบกวนเบา ๆ ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งาน และต้องเติมน้ำให้พอดีกับแทงก์ที่กำหนดไว้ เพราะน้ำจะรั่วซึมออกมาง่ายเมื่อเปิดเครื่องใช้งานขณะน้ำเดือด
มาถึงตัวสุดท้าย จาก@Home รุ่น HO0217 เครื่องรีดไอน้ำรุ่นนี้ใช้กำลังไฟ 1,500 วัตต์ ขนาดของเครื่องถือว่ากะทัดรัด โดยในส่วนของหัวรีดมีช่องพ่นไอน้ำ 9 รู และเป็นแบบเซรามิกเคลือบสารทัวร์มาลีน รุ่นนี้จึงถนอมใยผ้าไม่ให้ขึ้นรอยเงาได้ดี และใช้กับผ้าที่ค่อนข้างบอบบางได้ ระบบแรงดันไอน้ำแบบนาโน สตรีม ที่จะช่วยกำจัดไรฝุ่นและลดแบคทีเรีย ดังนั้นถือว่าไอน้ำและความร้อนค่อนข้างสูง แม้ตัวถังจะมีความจุน้ำถึง 1,800 มิลลิลิตร แต่ก็มีมีระบบป้องกันน้ำหยด ซึ่งช่วยลดการหยดของน้ำได้ถึง 90 % จึงถูกใจผู้ใช้งานที่ส่วนใหญ่มักเจอปัญหาน้ำหยดจากเครื่องรีดไอน้ำยี่ห้ออื่น ๆ รวมถึงหมดปัญหาน้ำซึมโดนผ้าหรือหยดลงพื้นเลอะเทอะ
ในเรื่องของการรีดสามารถใช้งานด้วยระยะเวลาประมาณ 50 นาทีต่อน้ำ 1 แทงก์ โหมดใช้งานไม่ได้หลากหลายนัก จึงไม่สามารถปรับระดับแรงดันไอน้ำได้ จากการรีดของผู้ใช้รีวิวว่าประทับใจเครื่องรีดที่ช่วยถนอมใยผ้า แต่ยังมีบางรีวิวที่ไม่พอใจกับความเรียบของผ้า เนื่องจากไม่สามารถปรับความแรงของไอน้ำได้นั่นเอง สำหรับอุปกรณ์เสริมประกอบด้วยหัวแปรงปัดเศษฝุ่น หัวแปรงจับจีบ และถุงมือกันความร้อนหนา 3 ชั้น รุ่นนี้ยังสามารถเติมน้ำระหว่างการใช้งานได้อีกด้วย ทั้งยังไม่ทำลายเนื้อผ้า และด้วยแรงดันไอน้ำสูงจึงช่วยกำจัดกลิ่นอับชื้น รวมถึงมีระบบตัดไฟเพื่อความปลอดภัยหากเครื่องไม่มีน้ำหรือผู้ใช้ลืมปิดเครื่อง
การที่จะหาเครื่องรีดไอน้ำให้คุ้มค่า ประหยัดแรง และตรงกับการใช้งานจริง จำเป็นจะต้องดูกลไกการทำงานพื้นฐานของแต่ละรุ่นให้เข้าใจให้ดีเสียก่อน โดยทีมงานได้สรุปและแบ่งหัวข้อย่อย ๆ ที่สำคัญ ดังนี้
เป็นเครื่องรีดผ้าไอน้ำขนาดใหญ่แบบตั้งได้ ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป ออกแบบมาเหมือนกันทุกยี่ห้อคือ มีแทงก์น้ำอยู่ด้านล่างสุด และมีเสาสำหรับแขวนหัวรีดและแขวนผ้าซึ่งจะมีความสูงประมาณ 160-170 เซนติเมตร พอดีกับส่วนสูงของคนปกติ และยังสามารถปรับระดับความสูงต่ำ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้มากขึ้น ด้วยกำลังไฟ(วัตต์)ที่มีมากกว่า แรงดันไอน้ำจึงค่อนข้างสูงกว่าแบบพกพา การรีดก็ทำได้ดี รีดได้เรียบเร็วกว่า นอกจากนี้เครื่องรีดไอน้ำแบบทั่วไปที่ตั้งได้ยังมีฟังก์ชันเสริมในการใช้งานอื่น ๆ มากกว่า เช่น ระบบดักจับตะกรัน ระบบตัดไฟอัตโนมัติ ปุ่มปรับระดับความร้อนและไอน้ำหลายระดับที่เหมาะต่อการใช้รีดผ้าแต่ละชนิด เป็นต้น
จะเป็นเครื่องรีดไอน้ำที่มีขนาดเล็กเหมาะสำหรับการพกพา โดยหลักการทำงานของเครื่องแบบพกพา โครงสร้างภายในที่มีกำลังไฟ(วัตต์) ประมาณ 800 – 1,000 วัตต์ทำให้แรงดันไอน้ำและความร้อนค่อนข้างต่ำกว่าเครื่องรีดแบบทั่วไป ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ หรือต้องการรีดเพื่อเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น และไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการรีดผ้าจำนวนมากหรือใช้รีดผ้าเป็นหลัก เพราะระบบแทงก์น้ำสามารถบรรจุน้ำได้ค่อนข้างต่ำ และใช้งานเป็นเวลานานไม่ได้ ทว่า ยังเหมาะกับการใช้งานแบบเสริม หรือเหมาะกับผู้ใช้ที่ไม่สะดวกใช้เครื่องรีดขนาดปกติได้
เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการรีดผ้า ให้สามารถรีดได้ระยะเวลาต่อเนื่องตามที่เครื่องรีดผ้าไอน้ำแต่ละรุ่นแนะนำแล้ว เราควรสังเกตหัวรีดไอน้ำที่ไม่มีน้ำหนักมากเกินไป เพราะส่วนหัวรีดนั้นถือเป็นส่วนสำคัญที่เพื่อน ๆ จะต้องใช้ถือเพื่อทำการรีดเสื้อผ้าค่ะ หากน้ำหนักของส่วนหัวรีดไอน้ำไม่พอดีกับมือและแขน ระยะยาวจะทำให้รู้สึกล้าเพราะน้ำหนักของหัวรีด จะทำให้การรีดเพื่อช่วยประหยัดแรงในตอนแรกไม่ได้ดั่งหวัง รวมถึงประสิทธิภาพการรีดของผู้ใช้เองก็ลดลงและจำนวนผ้าที่ต้องรีดก็น้อยลงตามไปด้วย
ในส่วนตรงนี้เพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เข้าไปซื้อในร้านค้าเพื่อทดลองหยิบจับสินค้าเองก็อาจจะไม่ทราบแน่ชัดถึงน้ำหนักของหัวรีดไอน้ำ ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุไว้ในรายละเอียด สำหรับเพื่อน ๆ ที่สั่งผ่านเว็บออนไลน์ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ เพราะหากมองอีกมุมเครื่องรีดไอน้ำปัจจุบัน ผู้ผลิตค่อนข้างเน้นเรื่องการใช้งานที่สะดวกและทุ่นแรงผู้ใช้เป็นหลักอยู่แล้ว ดังนั้นหากเพื่อน ๆ อยากได้เครื่องรีดไอน้ำสักตัว ให้พยายามตรวจดูรุ่นที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด หรือสอบถามน้ำหนักหัวรีดกับทางผู้จัดจำหน่ายโดยตรงค่ะ
โดยทั่วไปแทงก์บรรจุน้ำของเครื่องรีดไอน้ำ มีความจุน้ำอยู่ปริมาณ 1,000 – 2,300 มิลลิลิตร หากหลาย ๆ คนที่มีเครื่องรีดไอน้ำอยู่แล้วคงรู้ว่าปริมาณน้ำที่บรรจุในแทงก์น้ำที่เหมาะสม จะช่วยให้การรีดผ้าเป็นไปอย่างราบลื่นมากขึ้น เพราะไม่ต้องคอยเติมน้ำระหว่างรีดผ้านั่นเอง ประกอบกับแรงดันไอน้ำของเครื่องรีดที่ทำงานสูง ย่อมต้องการปริมาณน้ำมากตามไปด้วย ซึ่งจุดนี้อาจตัดความกังวลลงไปได้ เพราะโดยปกติแล้วก่อนจะออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า ผู้ผลิตมักคิดค้นมาตรฐานความเหมาะสมในการใช้งานของเครื่องรีดผ้าไอน้ำแต่ละรุ่นไว้อยู่แล้ว
แต่สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังลังเลในเรื่องแทงก์น้ำ ให้สำรวจตัวเองว่าในแต่ละวันจำเป็นต้องใช้เครื่องรีดไอน้ำมากน้อยแค่ไหน เช่น บางคนใช้รีดเสื้อผ้าส่วนตัว ปริมาณน้ำที่ต้องใช้จึงไม่มาก ให้เลือกแบบมาตรฐานที่ความจุ 1,000 – 2,300 มิลลิลิตร แต่ในบางคนนำไปใช้กับธุรกิจของตัวเอง หรือต้องรีดผ้าในจำนวนมาก ๆ เพราะมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวหลายคน อาจจะเลือกแทงก์น้ำที่มีความจุสูงสุด ซึ่งปกติอยู่ที่ 2,300 มิลลิลิตรขึ้นไปนั่นเอง
เพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมเครื่องรีดไอน้ำบางรุ่นรีดผ้าเรียบ เร็ว แต่บางรุ่นรีดผ้าเรียบแต่ช้ากว่ากัน เหตุผลเพราะนอกจากเราจะต้องดูกำลังไฟ(วัตต์) ให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับอุปกรณ์เครื่องรีดไอน้ำหรือไม่ ควรอยู่ระหว่าง 1,500 – 2,000 วัตต์แล้ว และจะต้องตรวจสอบรูปแบบตรงแผง เช่น ช่องตรงแผงพ่นไอน้ำว่าเป็นอย่างไร รูระบายสำหรับพ่นไอน้ำมากพอที่จะช่วยกระจายการรีดผ้ามากน้อยแค่ไหน ซึ่งปกติรุ่นพกพาจะมี 3-7 รู และรุ่นแบบตั้งมี 8-13 รู
อย่างไรก็ตาม รูปแบบของแผงไอน้ำที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อระยะเวลาในการรีดและความเรียบของผ้าที่ต่างกัน เนื่องจากแรงดันของไอน้ำที่ส่งมาจากท่อส่งนั้นสามารถพ่นกระจายผ่านรูระบายตรงแผงรีดได้มากน้อยไม่เท่ากันนั่นเอง แต่ที่เราแนะนำก็คือ รูปแบบแผงหรือรูพ่นจะต้องเหมาะสมกับกำลังไฟ(วัตต์)ด้วยเช่นกัน
สำหรับระยะเวลาเปิดเครื่องใช้งานหรือระยะทำความร้อน ไม่ควรเกิน 1-2 นาที เนื่องจากกำลังไฟ(วัตต์) ของเครื่องรีดไอน้ำทั่วไปค่อนข้างสูงอยู่แล้ว (ปกติ 1,500 – 2,000 วัตต์) หรือหากระดับความร้อนยังไม่ทำงานในช่วงเวลาที่คู่มือระบุ หรือร้อนช้า ตัวเครื่องอาจจะมีปัญหาที่ด้านในมอเตอร์ เช่น เทอร์โมสตัท (Thermostat) ขดลวดความร้อน เป็นต้น แต่หากอยู่ในประกันควรส่งเคลม และหากเพื่อน ๆ ไม่อยากเจอปัญหานี้ ให้ระวังการใช้งานเครื่องรีดผ้าไอน้ำนานเกินกว่าที่คู่มือแนะนำ (ปกติอยู่ที่ 40-90 นาทีต่อครั้ง) ทั้งนี้ ปัญหาเครื่องรีดผ้าทำความร้อนช้า ส่วนใหญ่นั้นมักเกิดหลังจากใช้งานไปแล้วมากกว่า
เนื่องจากแรงดันไอน้ำเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ เช่นกันที่ช่วยให้ผ้าเรียบ ลดเวลารีดและยังช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ดีอีกด้วย โดยปกติหากเพื่อน ๆ ตรวจสอบแรงดันไอน้ำสามารถหาข้อมูลจากรายละเอียดสินค้าได้เลย โดยแรงดันไอน้ำของเครื่องรีดไอน้ำแบบทั่วไปไม่ควรต่ำกว่า 30 กรัม/นาที หากเจอรุ่นที่ต่ำกว่านี้อาจทำให้การรีดผ้าช้าลง เพราะแรงดันไอน้ำที่น้อยกว่า 30 กรัม/นาทีอาจลดรอยยับได้ไม่ดีเท่าระดับมาตรฐาน (ข้อมูลส่วนนี้ทีมงานยึดหลักแรงดันไอน้ำจากเครื่องรีดไอน้ำแบรนด์ดังหลาย ๆ รุ่นที่เป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน) แต่อย่างไรก็ตามหากดูแรงดันไอน้ำชนิดแบบพกพาอาจจะต่ำกว่านี้ได้ด้วยกำลังไฟ(วัตต์)ที่ลดหลั่นลงมา ทว่า เครื่องรีดไอน้ำขนาดพกพานั้นเน้นการใช้งานแบบเสริมเสียมากกว่า
จะหาซื้อเครื่องรีดผ้าไอน้ำดี ๆ ติดบ้านไว้สักตัวไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอีกต่อไป เราคาดว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงตัดสินใจได้แล้ว ดังนั้น เมื่อเราเข้าใจเป้าหมายการใช้งานจริงของตัวเองเป็นหลัก และสามารถเปรียบเทียบหาข้อแตกต่างของเครื่องรีดไอน้ำแต่ละตัวได้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานรีดผ้าได้อย่างคุ้มค่า แถมยังประหยัดแรงรีดได้มากเลยทีเดียว
และก่อนลาจากกัน นอกจากวิธีการเลือกซื้อเครื่องรีดไอน้ำข้างต้น เพื่อน ๆ อย่าลืมให้ความสนใจข้อมูลที่จำเป็นอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ประกอบภายในตัวเครื่อง ระบบความปลอดภัย ระบบตัดไฟ ใบการรับประกัน และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยทีเดียว เพราะแบรนด์ดัง ๆ เป็นที่รู้จักจะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้น ๆ ที่คอยตรวจสอบประสิทธิภาพ ความทนทานของตัวสินค้า จึงลดความเสี่ยงจากการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานนั่นเอง
Leave A Comment