วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับบ้านของคุณ และ สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อเครื่องฟอกอากาศ

วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับบ้านของคุณ และ สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อเครื่องฟอกอากาศ

เครื่องฟอกอากาศเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมาก เพราะ ในประเทศไทย เรามีสภาพอากาศที่แย่ลงเรื่อยๆทุกปี และ จริงๆแล้ว ปัญหาฝุ่นละอองระดับ PM2.5 นั้นเป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานแล้ว แต่เพิ่งจะเป็นข่าวได้ไม่เกินปี 2017 เท่านั้น แต่ถ้าหากว่า คุณดูประวัติสืบค้น จะพบได้ว่า สภาพความเป็นฝุ่นละเอียดเล็กและปัญหาคุณภาพาอากาศนั้นเป็นมานานแล้วตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้ว โดยที่คนไม่ทราบถึงปัญหาดังกล่าวมาก่อน

ทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่จะอยากจะป้องกันปัญหาฝุ่นละอองในบ้านหรือสำนักงาน คือ การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศ นำมาติดตั้งหรือใช้ในบ้านหรือสำนักงานได้ด้วยเหตุผลที่ว่า ตอนนี้ ราคามีความประหยัดกว่าเดิมมากแล้ว ซึ่งแต่ก่อนจะมีแต่เครื่องฟอกอากาศหลักเกือบหมื่นหรือเกินหมื่นกว่าบาททั้งนั้น แต่สำหรับสภาพราคาตลาดของเครื่องฟอกอากาศปัจจุบันพบได้ว่า กลับราคาต่ำลงเรื่อยๆ และ ทำเทคโนโลยีที่สูงขึ้นด้วยสวนทางกลับราคาที่ถูกลงไปทุกวันๆ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการใช้งาน เครื่องฟอกอากาศสำหรับบ้านเรือนได้ มากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

สำหรับบทความนี้ เราจะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึง ฟังก์ชั่น และ หลักการในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องหนึ่งเพื่อใช้กับบ้านหรือห้องสำนักงานของคุณ และ จะอธิบายเหตุผลว่าทำไมท่านถึงจะต้องเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีฟังก์ชั่นแต่ละประเภทอีกด้วย

ส่วนมากที่ท่านจะได้เห็น เครื่องฟอกอากาศที่จำหน่ายอยู่ จะพบได้ว่าจะเป็นแบบที่เรียกว่า เครื่องฟอกอากาศที่ฟอกโดยการใช้ฟิลเตอร์ (ตัวกรองอากาศ) โดยหลักการของเครื่องฟอกอากาศประเภทนี้ ระหว่างที่เครื่องทำงาน เครื่องจะดูดอากาศเข้าทางหนึ่งแล้วปล่อยออกอีกทางหนึ่ง โดยในเครื่องจะมีแผ่นตัวกรองฝุ่น หรือเราเรียกว่ากรองอากาศก็ได้ แล้วแต่ว่ามันจะกรองอะไรบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่ประเภทและคุณภาพของของฟิลเตอร์กรองอากาศของแต่ละรุ่นเหล่านั้น

อากาศที่ไหลผ่านฟิลเตอร์กรองอากาศ​จะถูกดักจับในแผ่นฟิลเตอร์​(ไม่หายไปไหน เพียงแต่ย้ายที่จากที่มันกระจายฟุ้งในอากาศ ให้มันโดยจับที่ฟิลเตอร์นี้แทน) โดยอากาศขาออกที่ออกจากเครื่องจะมีคุณภาพของอากาศดีกว่า อากาศที่เข้าไปในเครื่องก่อนการกรองด้วยฟิลเตอร์

กระบวนการนี้ เราอาจจะเรียกว่า “ฟอกอากาศ” ก็ได้ คือ เป็นการทำอากาศให้คุณภาพดีขึ้นไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง หรือวิธีการใดวิธีหนึ่ง ทั้งนี้ การฟอกอากาศนี้จะดำเนินการไปก็ต่อเมื่อ “มีการเปิดเครื่องให้ทำงานเพื่อให้อากาศไหลเข้าและผ่านฟิลเตอร์แล้วไหลออกจากเครื่อง” เท่านั้น หากไม่ได้เปิดเครืื่องไว้ เครื่องฟอกอากาศประเภทฟิลเตอร์นี้ จะไม่มีผลใดๆกับคุณภาพอากาศเลย ! ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็มีหลายบ้านเหมือนกันที่ซื้อและตั้งเครื่องทิ้งไว่เท่านั้น แน่นอนว่า แบบนั้นมันจะไม่ได้ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้นแต่อย่างใด (เหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ก็มีคนเข้าใจแบบนั้นอยู่ในโลกนี้เหมือนกัน !)

สำหรับเครื่องฟอกอากาศที่ทำงานโดยการกรองด้วยฟิลเตอร์ จะเห็นได้ว่า มันต้องมีฟิลเตอร์สำหรับการกรองอากาศเป็นปัจจัยสำคัญของเครื่อง ! หากไม่มีฟิลเตอร์แล้วไซร้ เปิดเครื่องฟอกอากาศไปก็ไร้ประโยชน์อีกแล้วเปลืองค่าไฟฟ้าอีกต่างหาก เพราะ แค่ทำหน้าที่ดูดอากาศและไหลออกด้วยค่าคุณภาพอากาศที่เท่าเดิม (แล้วจะเปิดไปทำไมล่ะ) ฟิลเตอร์นี้ มันจะถูกเรียกให้ลึกและเข้าใจได้มากขึ้นว่า เป็น HEPA filter ซึ่งมันมักจะผลิตมาจาก polyester ที่ได้รับการทำให้ละเอียดและอัดให้แน่น เข้าหากัน หรือ อาจจะมีการปรับประจุของ polyester ที่เป็นใยพวกนี้ ให้มีความสามารถในรับประจุหรือดูดฝุ่นให้จับกับใยได้แน่นหนากว่าเดิมอีกด้วย HEPA filter จะมีเกรดของมันแต่สำหรับเกรดที่ขายกันอยู่แล้วในโลกนี้สำหรับเครื่องฟอกอากาศบ้านเรือน (ไม่ใช่โรงพยาบาลในห้อง cleanroom) มันก็จะเป็นรุ่นของ H11 ซึ่งผู้จำหน่ายเครื่องฟอกอากาศจะไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรอก เพราะมันดูเกินจำเป็น เขาจะสื่อสารกันด้วยว่าสามารถ remove PM2.5 ได้กี่เปอร์เซนต์เสียมากกว่า เพราะ ผู้บริโภคจะรู้จักกันแค่สภาพฝุ่นประเภทนี้เสียเป็นส่วนใหญ่และ ไม่มีเหตุลที่จะต้องเล่าเรื่องเกรดของ HEPA filter ให้คุณได้รู้หรอก ! แต่หากคุณอยากรู้ก็อ่านย่อหน้าต่อไปได้

หมายเหตุ : HEPA ย่อมาจาก High Efficiency Particulate Air filtration บอกเอาไว้เสียหน่อยสำหรับคนที่อยากรู้เท่ห์ๆ มันก็แปลง่ายๆว่าก็เป็นตัวกรองฝุ่นประสิทธิภาพสูง​เท่านั้นเอง

รู้จักกับ HEPA filter รุ่นที่เป็น E11 หรือ H11 ที่ติดตั้งมาพร้อมเครื่องฟอกอากาศ

มันจะมีมาตราฐานทีกำหนดโดยคนอเมริกันว่า ถ้าหากว่า จะผ่าน H11 ได้ HEPA filter นั้นจะต้องมีความสามารถในการกรองฝุ่นขนาด 0.3 ไมครอน ( PM2.5 คือ 2.5 ไมครอน) หรือมากกว่า ให้ออกจากอากาศได้ตั้งแต่ 99.97% แต่ถ้าหากว่าเป็นมาตราฐานทางยุโรปก็กำหนดแค่เพียง 99.95% เท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วมันก็เป็นอะไรที่เป็นมาตราฐานที่แข็งกว่า เพียงเพื่อใช้กำจัดหรือกรอง PM2.5 แม้ว่า มันจะดีกว่า ! แต่ผู้จำหน่ายสินค้า เครื่องฟอกอากาศก็ไม่ได้เอามาประกาศหรือเล่นเป็นลุกเล่นการตลาดเท่าไหร่ เพราะ คนไม่รู้จักมากนักนั่นเอง

แต่ว่าจริงแล้ว หากเราเรียก HEPA สำหรับระบบ class 11 ที่มีในตลาดกันนั้น เดี๋ยวนี้เค้ามีการลดชื่อมันลงไปหน่อยให้เหลือแค่คำว่า EPA เท่านั้น เพราะ มันมีการอัพเกรดความยกของเกณฑ์ของ HEPA ขึ้นไปอีก แต่เดิมแล้ว class 11 นี้มันจะเรียกว่าเป็น HEPA แล้วแต่เดี๋ยวนี้ เค้าจะเรียกกันเหลือแค่ EPA เท่านั้น เราอาจจะเห็นตัวย่อ filter ว่าเป็น E11 ก็ได้ คือ สนใจที่ตัวเลขด้านหลังว่าเป็นเลขก็เพียงพอ !

อย่างไรก็ดี การกรองฝุ่นระดับ 0.3 micron นี้ได้มีประสิทธิภาพที่เราว่ากันคือ 99.5% หรือกว่านั้นก็สุดแล้วแต่ว่าเป็นมาตราฐานของประเทศใด ก็ดีมากแล้ววสำหรับการกรองอากาศในบ้าน (ไม่่ต้องเป็น HEPA class ที่มันดีกว่านี้ก็ได้) เพราะ แม้นว่า เราจะมีฝุ่นที่ผ่านการกรองให้สะอาดเพียง 99.5% แล้วเจ้า 0.5% ที่เหลือ มันกลับออกมาได้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่า มันจะไหลไปแล้วไปลับที่ไหนกันเล่า ! มันก็จะกลับมาอีกรอบเพื่อให่กรองออกใหม่อยู่ดี กล่าวคือ 0.5% x 99.5% ใหม่อีกรอบแล้ว ถ้าหากว่าคุณกันแล้วมันก็ไม่เหลือฝุ่นในอากาศอยู่ดีในที่สุด การทำงานของเครื่องฟอกอากาศตามบ้านแบบนี้ ไม่ได้เป็นการกรองอากาศแบบไหลผ่าน FLOW ทางเดียวครั้งเดียวซะที่ไหนกันล่ะ ไม่เหมือนกับเครื่องกรองอากาศในห้อง clean room หรือห้องผ่าตัดที่ต้องการเอาอากาศใหม่เข้ามาและอากาศจะต้องสะอาดในครั้งเดียว ! มันไม่เหมือนกันและที่ Clean room อะไรพวกนั้นเค้าก็ไม่ได้ใช้เครื่องฟอกอากาศหรอก มันเป็นระบบอื่นซะมากกว่ามาก ดังนั้นแล้ว การที่ใช้คำว่า HEPA ต้องถามก่อนว่าเป็น Class อะไร โดยปกติแล้วในตลาดจะรับกันได้ตั้งแต่มันเป็น EPA class 11 อยู่แล้ว และ Class ระดับนี้ ทำให้ฟิลเตอร์ราคาถูกลงไปกว่าเดิมมาก และ มันยังคงใช้การได้ดีเยี่ยมเท่าที่มันใช้งานที่บ้านเพื่อฟอกอากาศ หรือ เพื่อแก้ปัญหา PM2.5 ที่ไหลเข้ามาในบ้านแล้วเราปิดบ้านเ และ เปิดเครื่องฟอกอากาศ สภาพอากาศนั้น หากท่านเอาเครื่องวัดค่า PM2.5 ไปจ่อที่หน้าทางออกของอากาศของเครื่องฟอกอากาศ ค่าที่ท่านเห็นจะเป็นค่าที่ค่อยลดลงเรื่อยๆ ด้วยหลักการที่ HEPA class 11 ตามที่ได้เล่าให้ฟังนั่นเอง

เครื่องอากาศแบบ UV air purifier ที่ไม่ได้เป็น่ที่นิยมในตลาด (เพราะมันดักฝุ่นไม่ได้)

ถือได้ว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศอีกประเภทหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำงานด้วยหลักการกรองแต่อย่างใด แต่จะเน้นการใช้รังสีหรือแรงประเภท UV ที่เอาไว้เพื่อทำลายสารภูมิแพ้ในอากาศ และ พวกเชื้อโรคลอยในอากาศได้ เมื่อสารเหล่านี้ มีการโดนกับ UV มันก็จะสลายตัวไปเลยหรือตายไป และไม่ทำงานอีก (เชื่อโรคไม่ทำงานก็คือตายหงอไปว่าอย่างงั้น) แต่อย่างว่า ด้วยหลักการนี้ กลับไม่ได้เป็นการทำลายฝุ่นหรือดักฝุ่น PM2.5 ออกแต่อย่างใด ดังนั้นแล้ว ส่วนมากแล้วทำให้เครื่องฟอกอากาศประเภทจำหน่ายจำเพาะฟังก์ชั่นนี้ไม่ได้แต่กลับเป็นฟังก์ชั่นแถมเข้ากับเครื่องฟอกอากาศประเภทใช้ฟิลเตอร์เพิ่มเติมเข้าไปอีกขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น

อย่างที่ได้แจ้งเอาไว้ ส่วนมากแล้ว ในตลาดประเภทไทย เครื่องฟอกอากาศจะเป็นแบบฟิลเตอร์เกือบทั้งหมด แต่จะเพิ่มเติมลูกเล่นเข้าไปว่า สามารถทำอะไรเพิิ่มเติมได้เพื่อให้เป็นตัวเลือก (เสียเงินเพิ่มหากคิดว่ามันดี) ก็สามารถเลือกฟังก์ชั่นหรือรุ่นที่มีฟังก์ชั่นการทำงานเพิ่มเติมเหล่านี้เข้าไปในเครื่องฟอกอากาศที่คุณกำลังเลือกซื้อได้ด้วย

ประจุที่พ่นออกจากเครื่องฟอกอากาศนี้ถือได้ว่าเป็นตัวเสริม ที่คนส่วนมากไม่ได้จำเป็นต้องใช้ สำหรับบ้านที่เน้นการฟอกอากาศเพื่อ PM2.5 เพราะ การจับประจุนั้นจะทำให้ฝุ่นและเขื้อโรคในอากาศสลายโดยไม่ต้องโดนดูดเข้ามาที่เครื่องเลย เรียกได้ว่า มันเป็นอะไรที่เกินจำเป็นไปประมาณหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี แนวคิดความสะอาดแบบสุดๆนี้เกิดขึ้นประเทศญี่ปุ่นที่คนผู้ชายทั้งประเทศสูบบุหรีกันมาก และ อยู่ที่ไหนก็จะสูบเอาให้ได้ คุณจะเห็นเครื่องฟอกอากาศแบบมีการพ่นประจุเมื่อเครื่องฟอกอากาศนั้นใช้กับพวกโรงแรมห้องพัก โรงแรมจิ้งหรีด เลิฟโฮเติล หรือ ห้องหับที่เป็นสาธารณะในระดับหนึ่ง

ฟังก์ชั่นการพ่นน้ำหรือไอน้ำเพื่อปรับความชื้่น ไม่มีความจำเป็นในบ้านเมืองเรา

เป็นฟังก์ชั่นที่ไม่ได้จำเป็นเอาเสียเลยสำหรับประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ส่วนมากและ ประเทศที่ต้องการปรับความชื้นให้ชื้นขึ้นคือประเทศเมืองหนาวที่มีสภาพอากาศแห้ง เลยจำเป็นต้องการปรับความชื้นในห้องด้วย แต่อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องปรับความชื้่น แนะนำให้เลือกซื้ออุปกรณ์แยกส่วนเป็นอีกตัวเลยจะดีกว่า เพราะ หากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะเสียหายได้ง่าย และ ถ้าหากว่า คุณรวมทุกอย่างเอาไว้ด้วยกันในเครื่องเดียวแบบนี้แล้ว เครื่องเกิดเสียขึ้นมา เรียกได้ว่า มันก็จะเสียหายแพงกว่าเดิมแทนที่จะเสียเป็นตัวๆไป

การจับวัดค่าคุณภาพอากาศได้จะทำให้เครื่องฟอกอากาศสามารถปรับเพิ่มหรือลดความแรงของการฟอกอากาศได้ด้วยเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่ามันมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอากาศ และ ความจำเป็นในการเปิดทำงานของเครื่อง เครื่องฟอกอากาศที่มี “ความสามารถในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ” ถือได้ว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศที่ฉลาด ! และคุ้มค่าที่จะเลือกหาเอาไว้สักตัวหนึ่ง ฟังก์ชั่นนี้ถือได้ว่าเป็น เรื่องจำเป็นสำหรับคนที่ไม่ต้องการทีจะต้องมาดูว่าควรเปิดหรือปิดเครื่องตอนไหนอย่างไร โดยมากแล้ว เครื่องฟอกอากาศอากาศที่มีเซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศมักจะมีโหมด AUTO ที่จะปรับความสามารถในการฟอกอากาศให้มากน้อยขึ้นกับคุณภาพอากาศที่มันวัดได้โดยตรง

ที่แยกฟังก์ชั่นนี้ออกจากความสามารถในตรวจวัดก็เพราะว่า เครื่องบางรุ่น มันวัดได้ แต่มันไม่ได้บอกค่าเหล่านั้นให้กับเราได้ทราบ คือ เครื่องมันรู้ของมันเอง และ มันก็ฟอกอากาศตามสภาพคุณภาพอากาศที่มันรับรู้ได้ แต่ เราไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ มันดีไม่ดีอย่างไร แต่สำหรับเครื่องที่มีหน้าจอหรือวิธีการในการแสดงผล จะทำให้เจ้าของเครื่องฟอกอากาศ รับรู้ด้วย (ไม่ใช่เครื่องรู้อยู่คนเดียว) เพื่อที่เราจะได้ไม่เข้าไปในพื้นที่ห้องที่คุณภาพอากาศด้อยกว่าปกติ โดยเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นบอกได้เพียงสีเขียวเหลืองแดง ที่สะท้อนคุณภาพอากาศ (แดงแปลว่าไม่ดี หรือเขียวแปลว่าดีแล้ว) หรือบางรุ่นบอกมามีหน้าจอแสดงเป็นตัวเลขค่า PM2.5 ให้เราได้เห็นกันเลยก็ดีกว่ารุ่นที่บอกแค่เขียวเหลืองแดงเป็นต้น

เมื่อเครื่องฟอกอากาศ มีแสดงหน้าจอแสดงคุณภาพอากาศ เพราะ มีเซนเซอร์วัดค่า PM2.5 มันก็จะทำให้เรากำหนดให้เครื่องทำงานแบบ AUTO MODE ได้ โดยเป็นข้อดี ที่ดีเอามากๆ เพราะ เราไม่จำเป็นต้องไปกระทำการปรับค่าใดๆกับเครื่องฟอกอากาศเลย ! เรียกได้ว่า เอาเป็นเวลาไปทำอย่างอื่น ส่วนเรื่องการปรับคุณภาพอากาศก็เป็นหน้าที่ปล่อยให้เครื่องฟอกอากาศตัดสินใจและทำงานของมันไป เรื่องใครเรื่องมันว่าอย่างงั้น แม้ว่า การเปิดโหมด AUTO จะเป็นเรื่องดี แต่ มันจะดีกว่านั้นได้อีกหากเราสามารถกำหนดได้ว่า เครื่องจะเปิดโหมด AUTO ทำงานต่อไหน และ ตอนไหนให้ปิดการทำงาน เช่น เรารู้หรอกว่า เครื่องฟอกอากาศเครื่องนี้จะติดตั้งที่ห้องนั่งเล่น และ เราจะไม่อยู่ห้องนั่งเล่น เวลาค่ำ เพราะ เรานอนที่ห้องนอน (เป็นอีกห้องนึงเว้นแต่ คุณผู้ชายที่โดนภรรยาไล่มานอนห้องนั่งเล่นเป็นประจำ) ก็กำหนดไปเลยว่า 20:00 น.ก็ให้เครื่องปิดไปเลย และ เปิดโหมด AUTO อีกครั้งเวลา 07:00 น.เช้าเพื่อประหยัดไฟฟ้า ได้อีกระดับหนึ่งเป็นต้น

มีก็ดีไม่มีก็ได้ ! ใช่แล้ว เพราะ เราให้เครื่องมันงานอย่างออโต้อยู่แล้ว เราจะไปควบคุมมันเพื่ออะไรอีก เรียกได้ว่ามันเป็นเรื่องเกินจำเป็น และ ไม่จำเป็นเลยก็ว่าได้ ไร้สาระกันสุดๆสำหรับฟังก์ชั่นแบบนี้ เรียกได้ว่า มีแอพมาเพื่อให้มันดูเท่ห์หรือว่า เพื่อที่จะทำให้รู้สึก Home Automation เสียมากกว่า ! แต่หากคุณเป็นคนที่ไม่ได้เน้นเรื่องความเท่ห์ของระบบ Home Automation แล้ว การมีแอพเพื่อควบคุมทางไกลนั้นเป็นเรื่องเกินจำเป็นอย่างมาก !

ระดับความดังของเสียงของเครื่องฟอกอากาศตั้งแต่เสียงกระซิบยันเสียงพัดลม

เรื่องนี้เราสามารถประเมินได้ยาก เพราะ แม้แต่การทำงานของเครื่องที่เงียบที่สุด หากเป็นระบบฟิลเตอร์แล้ว ส่วนที่ทำให้เกิดเสียงคือ การที่มีเครื่องติดตั้งใบพัดเพื่อดูดอากาศ นอกนั้นกระบวนการอื่นๆ มันไม่ได้ทำเกิดเสียงแต่อย่างใด ทั้งนี้ เสียงจะดังหรือค่อยนั้นขึ้นกับ “ความแรงของการดูด” ซึ่งนั่นมันก็สัมผัสกับคุณภาพอากาศที่เครื่องเห็นว่าจำเป็นจะต้องดูดให้แรงขึ้นหรือไม่ ซึ่ง ถ้าหากว่า มันจำเป็น เราก็ควรให้เครื่องทำงานด้วยเสียงที่ดังขึ้นเพื่อรักษาคุณภาพอากาศเอาไว้เป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี สำหรับเครื่องรุ่นใหม่ๆ จะมีโหมดที่เรียกว่า Night Mode หรือ อาจจะมีชื่อว่า Silent Mode คือ โหมดที่จะทำงานเงียบเป็นพิเศษ คือ เป็นการรักษาระดับความแรงของอากาศดูดอากาศเอาไว้ให้ต่ำที่สุด เพื่อเน้นให้เสียงที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นน้อยที่สุดแทนเป็นความสำคัญอันดับแรก แทนทีจะเป็นเรื่องคุณภาพอากาศ (แน่นอนว่ามันแลกกันระหว่างสองประเด็นนี้ คือ ความแรงในการดูด และ เสียงดัง)

เรื่องนี้ ถ้าหากว่าเล่าเชิงลึกมันก็ลึกเกินกว่าผูบริโภคจำเป็นต้องรู้ และ เดี๋ยวนี้ นักการตลาด ที่นำเสนอเรื่องเครื่องฟอกอากาศ ก็ทำให้มันเข้าใจได้ง่ายแล้ว โดยการบอกเป็นขนาดห้องแทน ก่อนที่จะพูดเรื่องขนาดห้องนั้นขอบอกเล่าเรื่อง CADR สักเล็กน้อย โดยมันย่อมาจาก clean air dilivery rate หรือแปลว่าเป็นไทยให้เข้าใจได้ คือ อัตราความสามารถในการพ่นอากาศสะอาดออกมา จากเครื่องหรืออุปกรณ์หนึ่งๆ โดยจริงๆ มันจะมีกำหนดว่าอะไรเป็นนิยามของ clean air ที่ว่าที่บอกว่าอากาศสะอาดนั่นน่ะแหละที่ทำให้มันเหมือนว่าซับซ้อนและเกินจำเป็นต้องรู้ เพื่อการเลือกซื้อหาแค่เครื่องฟอกอากาศเพื่อใช้กับบ้านเรือนปกติ ทั้งนี้ นักการตลาดได้แปลงความหมายออกมาเพื่อให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ คือ ให้มองว่า เครื่องฟอกอากาศนั้น ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับขนาดห้องช่วงเท่าใดถึงเท่าใดกันแน่ คือ ต่ำสุดเท่าใด และ สูงสุดเท่าใด โดยแต่ละรุ่นของเครื่องฟอกอากาศจะบอกว่าเป็นตารางเมตร เพื่อให้เราวัดห้องของตัวเองแล้วมาเทียบว่า หากต้องการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศสักเครื่องหนึ่ง เครื่องฟอกอากาศรุ่นไหน ยี่ห้อใดจะเหมาะกับพื้นที่ของเรามากที่สุด โดยเกณฑ์ที่แนะนำใช้งานคือ หากวัดพื้นที่แล้วอยู่ในพื้นที่แนะนำระหว่างพื้นที่ห้องต่ำสุด และ สูงสุด เท่านั้นก็ถือได้ว่า เครื่องฟอกรุ่นนั้นจะเหมาะกับห้องขนาดที่คุณกำลังจะตั้งเครื่อง ง่ายๆ เท่านั้นเอง

หลักเกณฑ์เพื่อให้เข้าใจง่ายๆว่าทำไมมันต้องมีหลายรุ่นเพื่อพื้นที่ที่มีขนาดแตกต่างกันก็ เพราะ เครื่องประเภทที่ใช้ฟิลเตอร์นี้ จะแลกกันระหว่างความสามารถในการทำความสะอาดอากาศ​(ฟอกอากาศ) และ ความแรงของการดูดอากาศ ถ้าหากว่า เครื่องดูดได้แรงมากมันก็จะสามารถทำให้ตัวเลข CADR นั้นมากขึ้นได้ (หากเลือกใช้ filter class เดียวกันในการทดสอบ) ห้องยิ่งใหญ่กำลังในการดูดก็็ต้องการมาก เพื่อกรองอากาศให้ได้เนื้ออากาศสะอาดที่มากขึ้น เพียงพอสำหรับการลดระดับปริมาณฝุ่นในห้องลงไปถึงระดับที่ยอมรับได้ (เช่นหน้าจอขึ้นสีเขียว หรือค่า PM2.5 ต่ำกว่า 50 ppm เป็นต้น) แน่นอนว่า เรื่องของความสามารถในการฟอกอากาศต่อเวลานั้น จะทำให้ เครื่องนั้นจำเป็นต้องใช้มอเตอร์กำลังมากขึ้น หรือ การออกแบบทางกลศาสตร์การไหลของอากาศได้ดีขึ้นหากยังเป็นกำลังมอเตอร์เพื่อหมุนดูดอากาศเท่าเดิม และ เมื่อมอเตอร์กำลังมากขึ้น เราก็จะเสียค่าไฟฟ้ามากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน (เราไม่ชอบให้มันเสียเงินต่อเดือนเยอะเพื่อการฟอกอากาศ แต่ มันก็คุ้มมาก ถ้าหากว่า ห้องเราฝุ่นเยอะแบบนั้น) เมื่อมอเตอร์ใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็มาลงเอยที่ว่า “ราคาเครื่องฟอกอากาศมันก็จะแพงขึ้น” ตามความใหญ่ของรุ่น แต่อย่างว่าแหละ หากคุณมีบ้านใหญ่ การใช้เครื่องฟอกอากาศที่แพงขึ้นก็ไม่กระทบกับฐานะทางการเงินสักเท่าไหร่ หรือ คุณมีห้องคอนโดแค่ 21 ตร.ม. มันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรที่จะต้องเสียเงินเกินไปซื้อรุ่นทีมีความสามารถในการดูดฝุ่นได้แรงมากกว่าที่มันออกแบบเอาไว้เช่นเดียวกัน

ไส้กรองมันจะมีลูกเล่นอยู่ด้วยเหมือนกัน โดยปกติแล้ว ไส้กรองที่จำหน่ายในท้องตลาด มักจะแบ่งส่วนกันออกมาเป็นสองส่วนสำคัญ คือ ส่วนที่เป็นเนื้อใยสำหรับการกรองฝุ่น ที่เราเรียกว่า EPA หรือ HEPA ตามที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบน และ ส่วนที่เรายังไม่ได้กล่าวถึงเลยก็คือ ส่วนของ activated carbon ซึ่งมันก็จะมีเกรดอีก ! แต่ … อย่างว่าแล้วจริงๆ มันเรื่องรองหรือของแถมของการมีเครื่องฟอกอากาศเสียมากกว่า เพราะ วัตถุประสงค์ของฟอกอากาศสำหรับคนไทย ในยุค PM2.5 คือ การกรองฝุ่น 2.5 นี้เป็นประเด็นหลัก นอกนั้นเป็นประเสริมทั้งหมด ซึ่ง มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นสักเท่าไหร่

เจ้าแผ่นชั้น activated carbon นั้น วัตถุประสงค์ของมัน คือ ทำหน้าที่ดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกจากอากาศ แล้วฝังอมเอาไว้ในความละเอียดของรูพรุนของ activated carbon เหล่านี้ เนื่องด้วยถ่าน (ของอนุพิมพ์ว่าถ่านเพื่อจะได้สะดวกพิมพ์) เหล่านี้นั้นจะมีรูพรุนที่ยังไม่ตัน เพื่อรองรับอนุภาคของกลิ่นเข้าไปฝังเอาไว้ด้านในของมัน ทำให้เมื่ออากาศไหลผ่านเมื่อใด และ มันมีอนุภาคกลิ่นมาด้วย มันก็จะโดนดูดซึมเข้าไปในถ่านง่ายๆอย่างงั้นเลย และ เจ้าถ่านเหล่านี้ มันมีวันเต็ม และต้องทิ้งไปก็เนื่องด้วยหลักการมันตรงๆ คือ รูพรุนของถ่าน มันโดนอัดไปด้วยอนุภาคกลิ่นและอิ่มตัวแล้วมันก็จะไม่สามารถทำงานดูดกลิ่นได้อีกต่อไป เป็นต้น ดังนั้นแล้ว ถ้าหากว่า คุณเห็นว่า มันไม่ได้จำเป็นอะไร คุณอาจจะเลือกไม่ติดตั้งชั้นถ่านก็ยังได้ แต่ ไม่แนะนำให้เอาถ่านเก่าแปะเอาไว้แบบนั้น เพราะ สุดท้าย มันก็จะเป็นฝุ่นได้อีกก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของแผ่นกรองอากาศ HEPA ไปแล้ว เราไม่อยากจะได้ฝุ่นนี่ เราอยากจะลดปริมาณฝุ่นต่างหาก

นอกจากนี้สำหรับใยสำหรับการเอาไปทำ HEPA filter นั้นจะมีส่วนผสมที่เอาไว้เพื่อจำกัดเชื้อโรคได้ด้วยเหมือนกัน เพราะ เทคโนโลยีเส้นใยพวกนี้ มีการพัฒนามาแล้วนานมาก และ ส่วนมากจะเอาไปใช้กับเส้นใยเพื่อสิ่งทอหรือกลุ่ม non-woven เป็นหลัก ซึ่ง ฟิลเตอร์สำหรับ เครื่องฟอกอากาศนั้นก็คือกลุ่มสินค้าประเภท non-woven เหมือนกัน โดยหลักการจะใช้ ซิลเวอร์ไดออกไซด์หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ระดับนาโนพาทิเคิ้ล (nona-particle) ใส่เข้าไปกับเส้นใยที่เอามาทำฟิลเตอร์ และ สารกลุ่มนี้จะมีฤทธิ์ในการ antibac กำจัดหรือต้านการเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้ ว่าแต่ว่า … ทำไมมันต้องต้านด้วยเหรอ !? ใช่แล้ว ถ้าหากว่า มันมีการดักจับเชื้อโรคในเครื่องฟอกอากาศ มันก็มีโอกาสเหมือนกันที่เชื้อโรคจะโตในเครื่องฟอกอากาศได้ ! เพราะงั้นแล้ว ฟังก์ชั่นนี้ถือได้ว่าเป็นทางเลือกสำหรับกลัว และ คิดว่าน่าจะใช้แผ่นกรองนานๆ โดยขี้เกียจจะเปลี่ยนมัน ! ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าปกติแล้ว หากว่า คุณใช้งานเครื่องฟอกเป็นประจำ มันจะตันในอีกหกเดือนข้างหน้าเท่านั้น เรียกได้ว่า มันเป็นอะไรที่จะต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว สำหรับคนที่ใช้งานประจำ เลยไม่ต้องไปกังวลหรอกว่า เชื้อโรคมันจะสะสม เพราะ มันก็เปลี่ยนใหม่อยู่ดี อันนี้อย่างว่า ก็เป็นแค่ options หรือทางเลือกเท่านั้นว่า คุณจะต้องการให้มันทำแบบนี้ได้หรือเปล่า !

ถ้าหากว่าคุณจะซื้อตาม วัตถุประสงค์ต้องเป็นแบบเดียวกันเสียก่อน คือ ผมต้องการประหยัด fix cost ที่จ่ายเงินครั้งแรก เพื่อซื้อเครื่องฟอกอากาศ และ ต้องการจ่ายเงินเพื่อค่าไส้กรองให้น้อยที่สุดต่อปี ให้จงได้ ดังนั้นแล้ว สุดท้ายเลือก Xiaomi Air Purifier รุ่นที่มีจำหน่ายอยู่ โดยตอนที่ผมซื้อมันนานมากแล้วตั้งแต่ Xiaomi Air Purifier ออกเป็นรุ่นแรก คือ รุ่น S ธรรมดา ราคาประมาณ​ 3,xxx บาท+ แต่ ถ้าหากว่า คุณจะใช้งบเพื่อซื้อเรื่องฟอกอากาศ คุณจะได้รุ่นอย่างน้อยก็จะเป็นรุ่น Xiaomi Air Purifier 2S หรือดีกว่านั้นก็จะเป็นรุ่น 3H ที่มีการออกวางจำหน่ายครั้งแรกช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 ที่ผ่านมา

เนื่องจากผมจำเป็นต้องซื้อเยอะตัวเอามากๆ เพราะ ห้องหับมีขนาดก็ไม่เกินกว่าที่เสป็กรุ่นต่ำสุดกำหนดเอาไว้ เลยอยากจะให้ราคาต่อหน่วย (ต่อเครื่อง) มันประหยัดมากกว่า หรือ ถ้าหากว่า ผมเอาไปติดตั้งพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น ผมก็ยังเลือกรุ่นเล็ก แต่เลือกมาติดตั้งสองตัวแทน เพราะ ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ถ้าหากว่าเป็นเครื่องใหญ่ตำแหน่งเดียวซะ รู้สึก (เดา) ว่า ไม่น่าจะทำให้การดูดอากาศได้ทั่วเท่าไหร่ แต่ จะดีกว่า (หรือเปล่า) ที่เราจะมีเครื่องฟอกอากาศกระจายตัวสองมุมห้องแทน เพื่อใช้กับพื้นทีใหญ่อย่างที่ว่านี้ โดยสภาพห้องใหญ่ของผมจะเป็นตัว L ก็จะวางเครื่องหนึ่งที่ด้านแอลส่วนบน และ อีกตัวหนึ่งที่ปลายหางของตัวอักษรแอลนั่นเอง

อีกประเด็นก็คือ EPA Filter ก็เพียงพอแต่ต่อการแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นในห้องนอน และ ในบ้นได้ทั้งหมด และ เคยทำการทดสอบแล้วด้วยว่า เมื่อเปิดเครื่องฟอกอากาศ ก็จะทำให้ค่า PM2.5 แสดงค่าที่น้อบลงไปได้ในที่สุดอยู่ดี ไม่ได้จำเป็นต้องการอะไรอื่นนอกจากนี้ ดีกว่านั้นคือ ของจีนมีของก็อปที่สามารถใช้ได้เหมือนกัน ไม่ต้องเป็น filter ของ Brand ของ Mi โดยตรงเท่าไหร่หรอก เพราะ ผมได้มีโอกาสคุยกับโรงงานผู้ผลิตของก็อปเหล่านี้ แท้ที่จริงแล้วก็เป็น OEM ให้กับแบรนด์จีนเหล่านี้เช่นเดียวกัน เราจะเรียกว่าของก็อปปี้ก็ไม่ได้เพราะ ก็คือ โรงงานเดียวกับแบรนด์นั้นๆนั่นน่ะแหละ อย่างที่ คุณอาจจะพอรู้คือ Xiaomi ไม่ได้มีโรงงานทำเครื่องฟอกอากาศเป็นของตัวเอง และ ไม่ได้มีโรงงานผลิตฟิลเตอร์เป็นของตัวเองเช่นเดียวกัน ดังนั้น เพียงหาซื้อรุ่นที่มีสเป็กระดับเดียวกับที่ Xiaomi กำหนด เราก็สามารถติดตั้งฟิลเตอร์เหล่านั้นเข้ากับเครื่องได้อยู่ดี และ ที่คำสัญการทำแบบนี้ จะทำให้เกิดความประหยัดของค่าไส้กรองต่อปีด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ! คุณยังเลือกรุ่นที่ไม่ได้มีถ่านก็ได้ด้วย ทำให้ประหยัดอีกสองสามร้อยบาทได้เลย

Leave A Comment

Copyright © 2023 electricalleaf.com. All rights reserved.